เกม Dragon Age: The Veilguard ภาคใหม่ล่าสุดในแฟรนไชส์ RPG ชื่อดังจาก BioWare และ EA เปิดตัวด้วยเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย แม้ว่าจะมียอดรีวิวของทุกบนเว็บไซต์ โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่กลับไม่สามารถสร้างกระแสหรือดึงดูดผู้เล่นได้เท่าภาคก่อนๆ
คุณ Corinne Buche ผู้กำกับ Dragon Age ได้กล่าวถึงหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ล้มเหลว นั่นคือ “พวกปั่นกระแสความเกลียดชัง” ซึ่งเธอเชื่อว่ากลุ่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มรีวิวต่างๆ
การถล่มรีวิวและสงครามวัฒนธรรมในโลกออนไลน์
ในยุคปัจจุบัน การถล่มรีวิว (Review Bombing) บนเว็บไซต์อย่าง Metacritic กลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย Dragon Age: The Veilguard ก็ไม่รอดพ้นจากกระแสนี้
โดยมีรีวิวเชิงลบจำนวนมากที่ไม่ได้วิจารณ์ตัว Dragon Age: The Veilguard อย่างตรงไปตรงมา แต่เน้นไปที่การโจมตีในประเด็นทางสังคมหรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับความหลากหลาย
คุณ Buche ชี้ว่า สงครามวัฒนธรรม (Culture Wars) ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียมีส่วนสำคัญในการสร้างความขัดแย้งในชุมชนเกมเมอร์ และกลุ่มที่เธอเรียกว่า “พวกปั่นกระแส” ได้ใช้ Dragon Age: The Veilguard เป็นเวทีเพื่อขยายความเกลียดชังและการแบ่งแยก
เนื้อหาความหลากหลาย: จุดเด่นหรือจุดด้อย?
Dragon Age เป็นซีรีส์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและตัวตนของตัวละคร ซึ่งภาค The Veilguard ก็ยังคงยึดมั่นในแนวทางนี้
แต่สิ่งที่ทำให้ Dragon Age: The Veilguard นี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก คือการที่ทีมพัฒนาอาจให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวมากเกินไป จนผู้เล่นบางส่วนรู้สึกว่าถูก “บังคับ” ให้ยอมรับ
Buche อธิบายว่า การนำเสนอเนื้อหาที่สะท้อนความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทีมพัฒนา เพราะพวกเขาเชื่อว่า Dragon Age: The Veilguard ที่ดีควรทำหน้าที่เป็น “กระจก”
ที่สะท้อนตัวตนและการตัดสินใจของผู้เล่น อย่างไรก็ตามเธอยอมรับว่า การนำเสนอที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับจากผู้เล่นที่ไม่เห็นด้วย
สนุกไปกับ เกม เดิมพันที่มีหลากหลายรูปแบบ ที่ไม่เหมือนใครกับหน่วยงานสากลที่เชื่อถือได้อย่าง PAGCOR และถอนเงินง่ายๆ ใน 1 นาที
กระแสเกลียดชังและผลกระทบต่อยอดขาย
ปัญหาที่ Dragon Age: The Veilguard ต้องเผชิญไม่ได้มีเพียงแค่การวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงยอดขายที่ต่ำกว่าคาด
แม้ EA จะยังไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่รายงานเบื้องต้นระบุว่ายอดขายอาจอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านชุดในช่วง 2 เดือนแรก ซึ่งถือว่าน้อยสำหรับฟอร์มยักษ์ (AAA)
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของ BioWare ในฐานะสตูดิโอผู้พัฒนา RPG ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เช่น Dragon Age: Origins และ Mass Effect
การจัดการกระแสวิจารณ์
ความท้าทายของผู้พัฒนาในยุคปัจจุบัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Dragon Age: The Veilguard เป็นตัวอย่างหนึ่งของความท้าทายที่ผู้พัฒนาในยุคปัจจุบันต้องเผชิญ โซเชียลมีเดียกลายเป็นดาบสองคม
ที่สามารถช่วยโปรโมตได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ทำให้ตกเป็นเป้าของการโจมตีได้ง่าย
Buche เสนอว่า อุตสาหกรรมเกมควรให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ที่ผู้เล่นทุกคนรู้สึกยอมรับและมีส่วนร่วม เธอเน้นว่า
การสร้างเกมไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนากราฟิกหรือระบบการเล่นที่ดี แต่ยังต้องคำนึงถึงประสบการณ์ทางอารมณ์และการเชื่อมต่อของผู้เล่นกับตัวเกม
อนาคตของ BioWare และ Dragon Age
สำหรับแฟนๆ ซีรีส์ Dragon Age คำถามสำคัญคืออนาคตของแฟรนไชส์นี้จะเป็นอย่างไร
หลังจาก The Veilguard ไม่สามารถสร้างกระแสความนิยมได้เท่าที่ควร
BioWare ยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองในฐานะสตูดิโอชั้นนำ โดยการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในภาคนี้ และพัฒนาในอนาคตให้ตอบโจทย์ผู้เล่นหลากหลายกลุ่มมากขึ้น
“พวกปั่นกระแส” กับความท้าทายของอุตสาหกรรมเกม
กรณีของ Dragon Age: The Veilguard แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในโลกของอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล ผู้พัฒนาไม่เพียงแค่ต้องเผชิญกับความคาดหวังด้านคุณภาพ แต่ยังต้องรับมือกับกระแสสังคมและวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการรับรู้และการตัดสินใจของผู้เล่น
“พวกปั่นกระแส” เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Dragon Age: The Veilguard นี้ประสบความล้มเหลว แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากประสบการณ์
เพื่อสร้าง เกม ที่สามารถดึงดูดผู้เล่นได้หลากหลายกลุ่ม และยังคงยึดมั่นในคุณค่าที่สำคัญของซีรีส์ Dragon Age นั่นคือ การสำรวจตัวตนและการยอมรับความแตกต่าง
คอลเลกชันเกมที่ครอบคลุม มีบทวิจารณ์เกมและกลยุทธ์มากมายที่นี่ รวมถึงเกมPC, เกมXbox, เกมมือถือ, เกมPS4, เกมSteam ฯลฯ เกมต่างๆ กำลังรอคุณอยู่!